รัฐสภากำลังร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ให้การคุ้มครองลูกเรืออ่อนแอลง กระตุกความหวาดกลัวของการกลับไปสู่ ‘วันวานที่เลวร้าย’ ของการค้ามนุษย์
ทูน่า กุ้ง และปู จากประเทศไทยอาจถูกนำออกจากชั้นจำหน่ายของห้างสรรพสินค้าในประเทศตะวันตก หากว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้เพิกถอนกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องลูกเรือ เจ้าหน้าที่จากสหภาพยุโรปกล่าว
การสืบสวนราวทศวรรษก่อนได้เปิดโปงว่าชาวประมงถูกกักตัวอยู่บนเรือประมงไทยนานนับปีในฐานะของทาสสมัยใหม่ หลายคนถูกทารุณกรรมและยังพบรายงานการฆาตกรรมด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ก็เกิดอย่างแพร่หลายมากขึ้น
สถานการณ์นี้คลี่คลายลงเมื่อมีการนำมาตรการทางกฎหมายที่ออกแบบสำหรับการคุ้มครองแรงงานและสามารถหลีกเลี่ยงการแทรกแซงจากต่างประเทศในขณะนั้นได้
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรัฐสภาไทยกำลังร่างกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะผ่อนปรนการคุ้มครองต่างๆ ลงอย่างฮวบฮาบ
จากบทวิเคราะห์ของมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ พบว่าการแก้ไขกฎหมายนี้มีความพยายามยกเลิกข้อกำหนดให้แจ้งบัญชีรายชื่อลูกเรือเมื่อออกจากท่า รวมถึงมีการผ่อนปรนให้สามารถเปลี่ยนย้ายลูกเรือและขนถ่ายสัตว์น้ำที่จับได้จากเรือลำหนึ่งไปยังอีกลำหนึ่งระหว่างอยู่กลางทะเลได้
“รัฐบาลใหม่ของไทยภายใต้การบริหารงานของนายเศรษฐา ทวีสิน กําลังดําเนินนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่ถอยหลังในภาคประมง จากแรงจูงใจนี้ประกอบด้วยความโลภ ความเพิกเฉย และการไม่ยอมรับความจริงอย่างละเท่าๆ กัน” ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อํานวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว
“หากร่างกฎหมายนี้ผ่านการเห็นชอบ ประเทศไทยจะกลับไปสู่วันวานเก่าๆ อันเลวร้ายของการขนถ่ายสัตว์น้ำและเปลี่ยนย้ายลูกเรือกลางทะเล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้กับการค้าแรงงานอย่างเป็นระบบและแพร่หลาย และจะนำไปสู่การทำประมง IUU”
นายปลอดประสพ สุรัสวดี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกล่าวในการเสวนาเมื่อเร็วๆ นี้ที่กรุงเทพฯ ว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากกฎหมายประมงฉบับปัจจุบันมีขั้นตอนราชการและยุ่งยากมากเกินไป จนส่งผลให้การส่งออกและผลกําไรลดลง เขากล่าวเสริมว่ากฎหมายเหล่านี้ถูกตราขึ้นโดยรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากทหารที่ไม่มีใครต้องการและไม่เป็นประชาธิปไตยหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557
โฆษกของพรรคก้าวไกลซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงกล่าวเสริมว่า “จุดยืนของเราในการแก้ไขกฎหมายประมงคือการแก้ไขบทลงโทษให้เป็นธรรมและได้สัดส่วนกับอาชญากรรมมากขึ้น” เขายืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะไม่ “สร้างช่องโหว่ที่อาจนําไปสู่การละเมิดแรงงาน”
แต่โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) บอกกับ Telegraph ว่า “ใบเหลือง” ซึ่งถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2558 หรือการแทรกแซงอื่นๆ อาจถูกนํามาใช้ หากแผนการที่จะยกเลิกข้อบังคับยังคงดำเนินต่อไป สิ่งนี้อาจจำกัดหรือทำให้การค้าหยุดชะงัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวตะวันตก
“คณะกรรมาธิการมีความกังวลอย่างมากต่อร่างกฎหมายของไทย” โฆษกกล่าว และเสริมว่าคณะกรรมาธิการมองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็น “การผ่อนปรนข้อบังคับในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่ง “ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ”
“จนถึงขณะนี้ ประเทศไทยได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการว่าเป็นหนึ่งในความร่วมมือเพื่อต่อสู้กับการประมง IUU ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศที่สาม และเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของความร่วมมือที่สร้างสรรค์ในด้านนี้” โฆษกกล่าว “[การปฏิรูป] มีส่วนช่วยเพิ่มความโปร่งใสและทำให้บรรลุความยั่งยืน ความชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมในภาคประมง”
แต่พวกเขาเสริมว่า “คณะกรรมาธิการจะไม่ลังเลที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมด หากพิจารณาได้ว่าประเทศไทยกําลังไม่ให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับการทำประมง IUU”
รัฐบาลไทยยืนกรานว่าการค้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากแนวทางใหม่ โดยเน้นย้ำว่าสหภาพยุโรปซึ่งกําลังเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี FTA มีสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 6 ของการส่งออกอาหารทะเล
หกปีที่ติดกับอยู่กลางทะเล: 'อาตมาเคยถูกลวกด้วยน้ำร้อน'
เมื่อประเสริฐ ศรีวะอุไร เข้ามาเป็นลูกเรือประมง เขาถูกล่อลวงด้วยสัญญาว่าจะได้เงินเดือนและมีสภาพการทำงานที่ดี แต่ในไม่ช้าเขาก็ติดกับอยู่กลางทะเล ถูกบังคับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ ‘ไม่เหมาะสำหรับทาส’ หรือมิฉะนั้นก็ถูกทุบตีด้วยค้อนและหางปลากระเบนหนาม
แต่ประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต่างก็มีข้อกำหนดหรือกําลังพัฒนาข้อกำหนดด้านการนำเข้าอาหารทะเล เพื่อคัดกรองและป้องกันการทำประมงผิดกฎหมายและการละเมิดแรงงาน ปัจจุบันการส่งออกเกือบร้อยละ 60 ของไทยจะไปยังประเทศเหล่านี้
“หากมีการบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมการส่งออกอาหารทะเลที่สำคัญอย่างยิ่งของประเทศไทย... [และ] เปิดช่องให้กับการทำประมงที่ผิดกฎหมายและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ของแรงงาน” ดอมินิก ทอมสัน รองผู้อำนวยการและผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมกล่าว
"การวิเคราะห์ของเราแสดงให้เห็นว่า การค้าอาหารทะเลกับ 6 ประเทศรวมกับสหภาพยุโรปที่มีมูลค่ามากถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ. 2565 จะตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากตลาดเหล่านี้มีมาตรการทางการค้าใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าที่มาจากการประมง IUU หรืออาหารทะเลที่จับโดยการใช้แรงงานทาสเข้าสู่ประเทศของตน”
เขากล่าวเสริมว่า นโยบายที่ก้าวถอยหลังนี้จะขัดแย้งกับฉันทามติระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ กําลังมุ่งหน้าไปสู่อุตสาหกรรมประมงที่เข้มงวดและมีการตรวจสอบที่ดีขึ้นมากขึ้น
“ประเทศไทยได้ลงแรงอย่างหนักในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเพื่อสร้างตัวเองให้เป็นผู้นําตลาดในเรื่องนี้” เขากล่าวต่อ Telegraph “การกลับหลังหันในตอนนี้จะทำลายความได้เปรียบในการแข่งขันที่เอาชนะได้ยาก และคุกคามความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเอง... เรากำลังเหลือโอกาสไม่มากนักที่จะหยุดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้”
This piece was written by Sarah Newey, Global health security correspondent, and originally published in The Telegraph, and has been translated and shared here with permission.
SIGN UP FOR OUR EMAILS AND STAY UP TO DATE WITH EJF